6980 จำนวนผู้เข้าชม |
JAPAN CALLING!!!
คิดถึงไม่ไหวแล้ววว~
ทริปเที่ยวญี่ปุ่นกับทัวร์ครั้งแรก!
ตะลุยโตเกียว ชมภูเขาไฟฟูจิ ล่องเรือ แวะวัด เยือนเมืองโบราณ
กิน เที่ยว ช้อป ทัวร์ตัวแตก
ตารางแน่นๆ ที่โคตรคุ้ม 5 วัน 3 คืน ไปกับ Tip On Trip Tour
ในที่สุด! วันนี้ก็มาถึง วันที่เราจะได้ไปประเทศที่คิดถึงมากที่สุด หลังสถานการณ์โควิดรุนแรงมายาวนาน ตอนนี้ประเทศญี่ปุ่นเปิดประเทศแล้ววว แต่ถึงจะเปิดให้เฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปกับทัวร์เข้าเที่ยวเท่านั้น แต่เราก็ไม่หวั่นเลย กายพร้อมใจพร้อมมาก จัดทริป จองทัวร์ แบบตั๋วไฟไหม้ ขอเป็นกรุ๊ปชาวไทยกลุ่มแรกๆ ที่ได้ไปเยือนก่อนใครเลยค่า
ถึงจะเป็นการไปเที่ยวกับทัวร์ครั้งแรก แต่เราก็เตรียมหาข้อมูลอย่างดี และมองหาทัวร์ที่เราเชื่อใจ จนมาลงตัวกับที่นี่เลย Tip On Trip Tour ที่ให้ข้อมูลจนเรามั่นใจ บวกกับราคาทัวร์แสนน่ารัก จับต้องได้ และตารางทัวร์ในเส้นทางที่ถูกใจ โดยเราได้กำหนดเดินทางในวันที่ 10 - 14 ก.ค. 65 เป็นทริป 5 วัน 3 คืน ตะลุยโตเกียว ชมภูเขาไปฟูจิ ล่องเรือ แวะวัด เยือนหมู่บ้านเก่าแก่ ช้อปปิ้งแหล่งช้อปชื่อดังชินจุกุ ที่กิน ที่เที่ยว ที่พักแบบแน่นๆ ทริปแน่นๆ ในราคาทัวร์เริ่มต้น แค่ 28,XXX บาท (รวมค่า Visa) กับประสบการณ์ที่มาเองก็คงไม่ได้เที่ยวขนาดนี้แน่นอน
DAY 1
เราเริ่มออกเดินทางโดยสายการบินแอร์ เอเชีย เอ็กซ์ ที่จุดนัดพบสนามบินสุวรรณภูมิ มุ่งหน้าสู่สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น เวลาเกือบๆ เที่ยงคืน ตลอดเวลาการเดินทางบนอากาศที่หลับไม่ค่อยสนิทนัก ผ่านไป 6 ชั่วโมง เราก็เดินทางถึงแล้วค่าาา เย้!
และสิ่งแรกที่เราต้องทำ คือการปรับเวลาให้เป็นเวลาปัจจุบันของญี่ปุ่น ซึ่งเร็วกว่าไทยเรา 2 ชั่วโมง เราถึงที่นี่ในเช้าวันใหม่ และผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปแบบสบายๆ กับอากาศหลังจากที่ได้เหยียบพื้นดินของประเทศ อยู่ที่ 25 - 26 องศา เป็นอากาศสบายๆ ไม่หนาว ไม่ร้อน แบบที่ขนเสื้อผ้าจากเมืองไทยมาใส่ที่นี่ ได้แบบไม่ต้องเปลืองงบซื้อเสื้อผ้าใหม่เลยค่ะ 55555
DAY 2
ก่อนไกด์ทัวร์จะนำทางเราไปยังจุดหมายปลายทางแรก ที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปนี้ คือการไปเยือนเมืองที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจินั่นเองค่ะ เรานั่งรถบัสทัวร์ เพื่อมุ่งหน้าไปยัง ฮาโกเนะ (Hakone) เมืองหนึ่งในอำเภออาชิกะราชิโมะ จังหวัดคานากาวะ โดยใช้เวลาไม่นานมาก
ระหว่างทางไกด์พาเราแวะฝากท้องที่ภัตตาคารอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งนับเป็นอาหารญี่ปุ่นมื้อแรกของการมาเยือนที่นี่เลยค่ะ ถึงเมนูจะไม่หวือหวา แต่ก็ถือว่าเป็นเมนูต้อนรับที่ประทับใจทีเดียวค่า
หนังท้องตึงแล้ว หนังตายังไม่ทันจะหย่อน เราก็เดินทางกันต่อจนมาถึงสถานที่ไฮไลท์แรกค่ะ ล่องเรือโจรสลัด (Hakone Sightseeing Cruise or Pirate Ship) ในทะเลสาบอาชิ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า เรือโจรสลัดฮาโกเน่ เรือลำใหญ่สีแดงทอง ตกแต่งเป็นเรือโจรสลัดสไตล์ฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18
เรือลำนี้พาเราล่องไปบนทะเลสาบที่รายล้อมด้วยภูเขาทับซ้อนกันไปสุดลูกตา หนึ่งในนั้นที่เราได้เห็นกันคือภูเขาไฟฟูจินั่นเอง แต่ในช่วงที่เราไป ท้องฟ้าไม่ปลอดโปร่ง เต็มไปด้วยเมฆหมอก ตอนนี้เราเลยอดเห็นน้องฟูจิซังแสนขี้อายเลยค่ะ แต่ไม่เป็นไร เพราะตามตารางทัวร์เรายังมีช่วงที่จะได้ขึ้นไปสัมผัสฟูจิซังแบบใกล้ชิดกว่านี้อีก
หลังจากที่เราใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ชมวิวทิวทัศน์สวยงาม อากาศสดชื่นแล้ว เราเดินทางกันต่อ เพื่อไปอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญ ที่มาย่านนี้แล้วไม่แวะไม่ได้เลย คือ หุบเขาโอวาคุดานิ หุบเขาที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟฮาโกเน่ ซึ่งแม้จะผ่านมานานเป็น 3,000 ปี แล้ว แต่ในทุกวันนี้ ภูเขาไฟแห่งนี้ก็ยังไม่ได้ดับมอดลง ยังคงหลงเหลือแร่กำมะถัน และเกิดเป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติที่คนนิยมนำไข่มาต้มกัน
แต่ที่ไข่เป็นสีดำ ก็เพราะเปลือกไข่เจอกับกำมะถันตอนต้ม จึงกลายเป็นที่มาของ ไข่ดำ (Kuro-Tamago) แห่งหุบเขาโอวาคุตานิ ที่เชื่อกันว่า ใครได้ทานไข่ดำ 1 ฟอง จะมีอายุยืนขึ้นอีก 7 ปี! ไหนๆ มาแล้วก็ต้องจัดสิคะ แต่แค่คนละ 1 ฟองพอนะ มากกว่านี้ทานไม่ไหวค่าาา ไว้จะกลับมาทานอีกนะ ^^
ทริปวันที่สองของเราดำเนินมาเกินครึ่งค่อนวันแล้ว ตารางเรายังคงแน่น และแรงเรายังดีไม่มีตก ไปกันต่อค่ะ ทริปนี้ยังอีกยาวไกล แต่ไฮไลท์สำคัญสุดๆ ของเราในวันนี้ คือการได้ไปสัมผัส ภูเขาไฟฟูจิ แบบใกล้ชิด โดยที่เราจะเดินทางด้วยรถบัสขึ้นไปที่ความสูงในระดับชั้น 5 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่รถบัสพาขึ้นมาชมได้ และเป็นจุดชมวิวยอดนิยม ที่จะทำให้มองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างเต็มตา ไปพร้อมๆ กับชมวิวทะเลสาบที่รายล้อมอีกด้วยค่ะ
ภูเขาไฟฟูจิ ที่เราได้มาชมในครั้งนี้ เป็นช่วงปลายฤดูฝน ที่แม้เราจะไม่ได้เห็นฟูจิซังที่ยอดปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน เหมือนกับสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นที่เราเคยเห็นตามภาพทั่วไป แต่โชคดีมากๆ ที่พอขึ้นมาถึงจุดนี้ เราไม่ได้เจอกับเมฆหมอกหนาที่ปิดบัง หรือไม่เจอฝน ที่อาจเป็นอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถขึ้นมาชมบนระดับความสูง 2,300 เมตรนี้ได้
แต่นั่นแหละค่ะ มันทำให้เราได้เห็นภาพของฟูจิซังเต็มตาที่งดงาม มีเสน่ห์ บวกกับอากาศบนความสูงที่พัดเอาความเย็นระดับเลของศาเดียว มาช่วยเพิ่มความฟิน และความโรแมนติกได้อีกเป็นกอง ทำเอาไม่อยากลงมาเจออากาศข้างล่างเลยค่ะ 55555 แต่ที่สุดแล้วไม่ว่าจะมาเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูไหน ก็อยากแนะนำว่าถ้ามีโอกาสต้องแวะมาชมฟูจิซังด้วยตาตัวเองให้ได้สักครั้งในชีวิตนะคะทุกคนนน
แล้วก็ถึงเวลาปิดทริปวันที่ 2 กันแบบจุกๆ ด้วย บุฟเฟ่ต์ขาปู จากโรงแรมออนเซนที่เราพักในคืนแรก คืนนี้ไม่ขอพูดอะไรมาก นอกจากขอตัวไปนอนแช่ออนเซนชิลๆ หลังจากที่เหนื่อยล้าเดินทางกันมายาวนานตั้งแต่คืนก่อน.. เก็บแรง ชาร์จพลัง เตรียมลุยกันต่อพรุ่งนี้!!!
DAY 3
จะบอกว่าวันนี้กิจกรรมแน่นมากกกกกก มาเที่ยวกับทัวร์ก็จะคุ้มประมาณนี้ ได้ไปสถานที่ท่องเที่ยวเยอะ แถมสะดวกสบาย มีคนดูแล ไม่ต้องเหนื่อยกับการเตรียมการ วางแพลนเที่ยวมาก แบบว่าใช้เวลาได้คุ้มค่า คุ้มราคาสุดๆ อย่างวันนี้เราเริ่มออกเดินทางกันแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยังทะเลสาบคาวากุจิ ชมดอกไม้นานาชนิด(ตามฤดูกาล) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล Fuji Kawaguchiko Herb Festival 2022
ที่จริงๆ แล้วเทศกาลสวนดอกไม้นี้จะมีให้เข้าชมได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงเดือนกรกฎาคม รอบนี้เป็นฤดูของ ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ที่สวนสาธารณะโออิชิ (Oishi Park) ทิวทัศน์ที่นี่สวยเหมือนภาพวาดเลยค่ะ ดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสดใสตรงหน้า กับวิวทะเลสาบและแนวภูเขา ถ้าสภาพอากาศดีกว่านี้ เราจะได้เห็นวิวข้างหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิด้วยนะ
เราหยุดถ่ายรูปที่จุดนี้กันไม่นานมาก ก็เดินทางกันต่อราวๆ 40 นาที ถึงพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านอิยาชิโนซาโตะ (Iyashi no Sato) หมู่บ้านโบราณที่ในอดีตเคยเป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมบนชายฝั่งทิศตะวันตกของ ทะเลสาบไซโกะ (Lake Saiko) ซึ่งถูกพายุไต้ฝุ่นพัดถล่มไปในปี ค.ศ.1966 และได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ในรูปแบบดั้งเดิม พร้อมกับเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ให้ผู้คนได้เข้าชม เรียนรู้วัฒนธรรมเก่าแก่ของญี่ปุ่น
ในตอนที่เราไปถึงนักท่องเที่ยวยังบางตามากๆ เห็นเด็กๆ ญี่ปุ่น ออกมาเดินทัศนศึกษากันด้วยค่ะ เป็นภาพที่น่ารักมากๆ แม้จะเป็นวันที่มีฝนตกลงมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ทำให้ผู้คนที่มาที่นี่หมดสนุกลงเลย ทุกคนยังดูตื่นเต้นกับการได้เห็นศิลปวัฒนธรรมของที่นี่ ตั้งแต่การตกแต่งบ้านเรือน สินค้าพื้นเมือง ของกิน ของขาย และแกลลอรี่ มันทำให้เรารู้สึกอินเหมือนหลงเข้าไปในยุคนั้นเลย
เราพักเบรคทานอาหารกลางวันกันระหว่างเดินทางต่อไปยังโตเกียว ที่ภัตตาคารอาหาร มื้อนี้ ของเราจัดมาเป็นเซตซาซิมิชุดใหญ่ เสิร์ฟด้วยเรือไม้ลำใหญ่อลังการมาก แถมปลาดิบยังสดมาก สมชื่อ “ญี่ปุ่นแดนปลาดิบ” ฟินๆ (อิ่ม)จุกๆ อีกแล้วมื้อนี้ สถานีต่อไป ลุยต่อ โตเกียวค่าาา..
หลังออกไปสูดอากาศ ชมทุ่ง ชมวิวธรรมชาติกันให้ชุ่มฉ่ำปอดมาแล้ว ก็ได้เวลากลับเข้าเมือง มายังเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น “โตเกียว” (Tokyo) ที่ในอดีตคือเมืองเอโดะ(Edo) นั่นเองค่ะ จุดหมายแรกของการมาถึงเมืองนี้ของเราคือ โอไดบะ (Odaiba) เกาะที่เต็มไปด้วยแหล่งช้อปปิ้ง และแหล่งบันเทิง
หนึ่งในนั้นคือห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ไดเวอร์ซิตี้ โตเกียว พลาซ่า (Diver City Tokyo Plaza) ที่มีจุดเด่นเป็น “หุ่นยนต์กันดั้ม” ขนาดใหญ่มาก ตั้งเด่นอยู่หน้าห้าง ที่นี่เราได้ใช้เวลาฟรีสไตล์ เดินเล่นชมเมืองชิลๆ แวะช้อปปิ้งนิดหน่อย และหาร้านอร่อยๆ ทานตามอัธยาศัยค่ะ
เราเดินเล่นไปเรื่อยๆ มาสะดุดกับกลิ่นหอมๆ จากร้านเนื้อย่างร้านหนึ่ง ที่ดูภายนอกเป็นเพียงร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นธรรมดา แต่เมื่อได้เข้าไปลองสั่งทานแล้ว รสชาติไม่ธรรมดาเลยค่ะ ขนาดที่ปกติแล้วเราไม่ชอบทานเนื้อเท่าไหร่ แต่ต้องยอมให้กับเนื้อของที่นี่
ไม่มีกลิ่นเนื้อติดเลย ว้าวมาก รสชาติละมุนลิ้น สมกับที่ใครๆ ก็บอกว่า “ต้องลองทานเนื้อที่ญี่ปุ่นสักครั้ง” ยิ่งเสิร์ฟมาพร้อมกับไวน์นะ โอ้โห! มันเข้ากันได้ดีมาก ฟินมาก ถึงกับต้องขอยกมื้อนี้ให้เป็นที่สุดของทริปนี้เลยค่าาา
DAY4
แล้วเราก็เดินทางมาถึง วันเที่ยววันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว เวลาผ่านไปเร็วมาก แต่เปิดตารางเที่ยววันนี้ก็ยังแน่นเหมือนเดิม 55555 จากเมื่อคืนที่เรากลับมาพักกันในย่านที่ใกล้กับสนามบินนาริตะ เช้านี้เราจึงเริ่มทัวร์กันที่ วัดนาริตะซัน (Naritasan Shinshoji Temple) ที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลยค่ะ สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมก็งดงาม และที่นี่ยังเป็นที่ที่คนนิยมมาไหว้ขอพรเรื่องงาน และขอโชคลาภด้วยนะคะ ซึ่งสายมูอย่างเราไม่มีพลาดแน่นอนค่าา ^^
นอกจากวัดแล้ว ที่นี่ยังมีถนนช้อปปิ้งที่อยู่บริเวณทางเข้าวัดด้วยนะคะ ชื่อว่า โอโมเตะซังโดะ นาริตะ (Naritasan Omotesando) หรือ ถนนปลาไหล ถ้าใครมีโอกาสแวะมาที่วัด ก็มาเดินช้อปกันนะคะร้านค้าหลากหลายระยะทางยาวเป็นกิโลเลยค่ะ
อีกเมืองที่เราต้องเดินทางไปกันต่อคือ ย่านเมืองเก่าคาวาโกเอะ (Kawagoe’s Warehouse District) ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของทริป ด้วยสถาปัตยกรรมของบ้านเรือนแบบสมัยเอโดะ เรียงรายยาวตลอดสองข้างทาง ผสมผสานกับอาคารบ้านเรือนของประชาชนในยุคสมัยใหม่ บ่งบอกถึงวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้ได้อย่างดีค่ะ
เสน่ห์ของความเก่าแก่ที่แทรกตัวอยู่ในความเจริญรุ่งเรืองนี้ ทำให้ที่นี่ได้รับความนิยมมากในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะได้ชมทั้งความสวยงามผ่านสถาปัตยกรรมในแต่ละยุคสมัย ไปพร้อมๆ กับการได้ช้อปสินค้าหลากหลาย ได้ชิมทั้งอาหารพื้นเมือง และอาหารที่ฮอตฮิตในปัจจุบัน หรือแม้แต่อยากจะแวะคาเฟ่ หากาแฟที่คุ้นเคย ถูกปาก ก็ยังหาง่าย สะดวกสบาย มาที่นี่ที่เดียวถือว่าครบ!
ถัดออกไปไม่ไกล เราได้ไปแวะอีกวัดชื่อดัง ที่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ และได้รับความเคารพนับถือมากที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว นั่นคือ วัดอาซากุสะ (Asakusa Temple) ที่ภายในประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิมทองคำ ซึ่งคนนิยมมากราบไหว้ ขอพร เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต โดยในช่วงที่เรามา ฝนก็ยังตกเบาๆ ต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการมูเลย เรายังเห็นชาวญี่ปุ่นแวะเวียนเข้ามากราบไหว้ไม่ขาดสาย ดูแล้วน่าจะมากกว่านักท่องเที่ยวอย่างเราซะอีกค่ะ
ท้ายสุดเราจะปิดทริปนี้ด้วยการเดินเล่น และช้อปปิ้งย่านไฮแฟชั่นที่โด่งดังของญี่ปุ่น นั่นคือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) และชิบูย่า (Shibuya) ค่าทุกคนนน ที่นี่ถือเป็นแหล่งรวมสินค้าที่ใหญ่ที่สุด มีทุกอย่างตั้งแต่แบรนด์เนม เครื่องสำอางค์ สกินแคร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เทคโนโลยี ของใช้ เสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับวัยรุ่น และแสงสียามค่ำคืนของกรุงโตเกียว
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้อย่างเต็มที่ กิน เที่ยว ช้อป ก่อนจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ วันนี้ถือเป็นวันละลายทรัพย์ค่ะ ใครที่แลกเงินมาแล้วยังเหลือ สามารถจัดหนักจัดเต็มที่นี่ได้เลย แต่ส่วนใหญ่เราจะหนักไปทางกินมากกว่า 5555555 ที่เหลือก็เดินเล่น ถ่ายรูป เสพบรรยากาศเมือง และความคึกคัก ก่อนลงหลักปักฐานกับร้านอาหารร้านนึง ที่ส่งกลิ่นยั่วๆ (อีกแล้ว) 555555
ร้านนี้เป็นร้านสไตล์อิซากายะ ปิ้งย่างพร้อมเครื่องดื่ม เปิด 24 ชั่วโมงค่ะ ดูจากหน้าร้านแล้วมีอาหารให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะอาหารทะเลสดๆ มองเข้าไปส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่นนั่งทานกันอยู่หลายโต๊ะ และหลังจากที่เราเสิร์ชหาข้อมูลไปด้วยก็ได้ความว่า ร้านนี้คือ อิโซะมารุ ซุยซัง (Isomaru Suisan) ร้านซีฟู้ดปิ้งย่างชื่อดัง ที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่นนั่นเองค่า ร้านนี้ถือว่ารสชาติดี ราคาเป็นมิตรทีเดียวค่ะ
เราสั่งเมนูง่ายๆ เบาๆ มาลองทานกัน เปิดด้วยหอย กุ้ง และปลาหมึก สดมากๆ ไม่มีความคาวหลงเหลือ ทานกันเพลินๆ นั่งชิลๆ ก่อนเดินทางกลับไปพักผ่อนยังโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบินนาริตะค่ะ
DAY 5
วันนี้เราต้องตื่นแต่เช้า และออกเดินทางกันเหมือนเคยค่ะ แต่ไม่ได้ไปเที่ยวแล้วววว(เศร้าตรงนี้) 555 วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางแล้วค่ะ เราเดินทางกลับกันด้วยสายการบินแอร์ เอเชีย เอ็กซ์ ไฟล์ทรอบ 09.15 น. ขากลับหลับดีเลยค่ะ สงสัยจะเหนื่อย 555 รู้สึกตัวอีกทีเราเดินทางมาถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพแล้วค่ะในช่วงบ่ายๆ (เวลาไทย) ความรู้สึกแรกหลังมาถึงเลย คือทำไมเวลามันผ่านไปเร็วงี้ แบบนี้สินะ ที่เค้าว่ากันว่า “ช่วงเวลาแห่งความสุข มักผ่านไปไวเสมอ”
เราขอ "สรุป" ทริปนี้ด้วย 3 คำสั้นๆ อิ่ม คุ้ม แน่น
อิ่ม แน่นอนว่าหลังจบทริป เราแบกเอาความอิ่มอก อิ่มใจ กลับมาเต็มอิ่ม จากการได้ไปสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ และสถานที่ยอดนิยมมากมายของญี่ปุ่น กับบรรยากาศที่ได้ทั้งวิวเมือง วิวธรรมชาติ ผู้คนชาวญี่ปุ่นที่ยิ้มแย้มและให้การต้อนรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น แบบที่เรารู้สึกได้จริงๆ ตลอดการเดินทางในทริปนี้ เราได้รับการดูแลและแนะนำอย่างดีจากไกด์ และสมาชิกร่วมทัวร์ของเราก็น่ารัก ราบรื่น สบายใจตลอดทริป อาหารการกินก็อิ่มคุ้มครบทุกมื้อไม่มีขาด จบทริปเหลือแต่ความประทับใจ กับภาพสวยๆ อีกเพียบเลยค่ะ
คุ้ม ว่าด้วยเรื่องของราคาก่อนเลย สำหรับราคาทัวร์ 28,xxx บาท รวมค่า Visa รวมค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ค่าที่พักแบบนอนสบายระดับโรงแรมติดดาว 3 คืน ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์มากกว่า 10 แห่ง! ค่าเดินทาง ค่าอาหารภัตตาคารอีกเกือบทุกมื้อ แบบที่ถ้าเราไปเองจะไม่มีทางจบที่ราคานี้กับตารางท่องเที่ยวขนาดนี้แน่นอน ส่วนที่เหลือก็ค่าช้อปปิ้ง ค่ากินฟรีสไตล์ 2 - 3 มื้อ แล้วแต่ไลฟ์สไตล์เราเลย.. อ้อ! แล้วอีกอย่างสถานที่บางแห่งระหว่างไปเองกับไปทัวร์ก็จะได้รับประสบการณ์หรือสัมผัสความสวยงามที่แตกต่างกันด้วยนะ
แน่น สิ่งที่ต้องยกให้เค้าเลยคือตารางทัวร์ที่แน่นนนนนมากกก เรียกว่าเที่ยวกันจนเหนื่อย เป็น 5 วัน 3 คืน ที่ตื่นเช้ากลับดึกตลอด เที่ยวเมืองนี้เสร็จ ไปเมืองนู้นต่อ ขึ้นรถ ลงเรือ ครบ แวะเที่ยวแต่ละที่ อาจไม่ได้ใช้เวลาชิลๆ เสพบรรยากาศเรื่อยเปื่อยกันได้นาน ก็ต้องรีบเปลี่ยน เพื่อปักหมุดไปต่ออีกที่ ให้เราได้เที่ยวครบตามที่วางแผนไว้ในตาราง แต่ไม่ต้องกลัวว่าการท่องเที่ยวแบบนี้จะทำให้เราขาดตกอะไรไปนะคะ เพราะในแต่ละวันเราจะได้สัมผัสแบบครบรสกิน เที่ยว ช้อป พร้อมข้อมูลแน่นๆ จากไกด์ ให้เราได้อินไปกับสถานที่นั้นๆ จุดสำคัญตรงไหนที่เราไม่ควรพลาด ทุกอย่างถูกวางแผนมาอย่างดีแล้ว ไม่มีอะไรให้เราต้องกังวลเลย
Tips : ช่วงนี้ประเทศญี่ปุ่นเพิ่งเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวได้ แต่มีข้อแม้ว่านักท่องเที่ยวต้องไปกับทัวร์เท่านั้น บวกกับที่สายการบินแอร์ เอเชีย เอ็กซ์ เพิ่งเปิดเที่ยวบินปลายทางประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา การได้เดินทางด้วยสายการบินโลว์คอส เลยเป็นเส้นทางสำคัญที่เราสามารถคุมงบทัวร์ท่องเที่ยวของเราได้ ใครที่โหยหาการเที่ยวต่างประเทศ คิดถึงญี่ปุ่น หรือมีแพลนอยากเที่ยวญี่ปุ่น ในงบประมาณจำกัด แนะนำเลยค่ะ เที่ยวกับทัวร์ไปกับ Tip On Trip Tour เค้ามีตารางทัวร์ญี่ปุ่นบินกันทุกสัปดาห์ ล่าสุดตารางน่าจะยาวข้ามปีไปแล้ววว
อีกอย่างช่วงที่เราไป เราเป็นกรุ๊ปคนไทยทัวร์ญี่ปุ่น กรุ๊ปที่ 2 ที่ได้เข้าไปเที่ยวบ้านเมืองเค้า เราเองที่โหยหาการท่องเที่ยวหลังโควิด แต่คนญี่ปุ่นเองก็ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบเราอย่างมาก เค้าเฟรนด์ลี่กันมากๆ แบบที่เรารู้สึกได้เลยว่าทุกคนคิดถึงความรู้สึกนี้ และไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของโควิดนะคะ เพราะที่นู่นดูแลและจัดการเรื่องความสะอาดและป้องกันเชื้อดีมากๆ ทุกคนยังคงใส่หน้ากากป้องกันและระมัดระวังกันเป็นอย่างดี
แต่ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ณ ตอนนี้ ถ้าเรายังมีเวลาและมีโอกาสได้เดินทางท่องเที่ยว ได้ชีวิตที่เกือบเป็นปกติกลับคืนมา แบบที่อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ได้อย่างสบายใจ อย่าทิ้งโอกาสนี้นะคะ ออกมาเดินทาง มาใช้ชีวิตกันเถอะ..
นอกจากรูปภาพสวยๆ ที่เราเก็บมาฝากทุกคนแล้ว เรายังมี VLOG เที่ยวญี่ปุ่นไปกับทัวร์ครั้งแรก 5 วัน 3 คืน มาฝากให้ทุกคนได้ชมกันบน Youtube ด้วยนะคะ ฝากทุกคนกดติดตาม กด Like กด Share กด Subscribe พวกเราในทุกๆ ช่องทางด้วยน้าาา
ส่วนรายละเอียดการเตรียมเอกสารเดินทาง ต้องใช้อะไร ยังไงบ้าง ฝากติดตามกันต่อในคอนเทนต์ต่อๆ ไปค่า และทริปหน้าเราจะเดินทางไปที่ไหนกันอีก รอติดตามนะคะ
แล้วพบกันใหม่ค่า