10 จุดไฮไลท์ เที่ยวจิ่วจ้ายโกว สวรรค์บนดินแห่งแดนมังกร ที่ต้องมาสักครั้งในชีวิต!

เที่ยว “จิ่วจ้ายโกว” สวรรค์บนดิน แห่งแดนมังกร
ห้ามพลาด 10 จุดเช็คอิน ความสวยเหนือจินตนาการ ที่ต้องมาสักครั้งในชีวิต!

หลายคนคงเคยเห็นภาพของ “จิ่วจ้ายโกว” มาบ้างแล้ว ภาพแนวภูเขาสลับซับซ้อนหลากสีสัน สะท้อนกับน้ำสีฟ้าใสราวกระจก ความสวยที่เหมือนภาพวาด สวยเหมือนไม่มีอยู่จริง จนที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “สวรรค์บนดิน แห่งแดนมังกร”

จิ่วจ้ายโกว หรือ อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว (Jiuzhaigou National Park) ตั้งอยู่กลางหุบเขา ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน มีพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 720 ตารางกิโลเมตร อุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติ ผืนป่า ภูเขา น้ำตก และทะเลสาบ ที่สวยงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จาก UNESCO ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535

ที่นี่เที่ยวได้ทุกฤดูทั้งปี โดยที่ความงามจะแตกต่างกันไป แต่ฤดูที่นิยมสุดๆ คือ ฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ของทุกปี เพราะจะได้เจอกับต้นไม้ ใบไม้หลากสี นับหมื่นต้น ตัดกับสีท้องฟ้า สะท้อนน้ำใสสีมรกต เป็นภาพที่หาชมที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน

ส่วนพื้นที่ของ จิ่วจ้ายโกว ที่ครอบคลุมหุบเขาขนาดใหญ่ถึง 3 ลูก ตามแผนที่แล้ว จะถูกแบ่งเป็นลักษณะตัว  Y (ตามรูป) มีทางเดินเส้นทางธรรมชาติเดินถึงกันได้หมด มีจุดให้แวะชมเยอะมากๆ โดยสามารถเลือกเดินชมไปเรื่อยๆ (ถ้ามีเวลามากพอ) หรือโดยสารรถรับ-ส่งของอุทยานก็ได้ ส่วนใหญ่แล้วคนจะนิยมเที่ยวทีละฝั่ง ฝั่งซ้ายกับฝั่งขวา หรือจะเลือกแวะตาม จุดไฮไลท์ 10 แห่ง ที่เราคัดมาให้แล้วว่า ต้องได้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต!

หนึ่งในจุดที่สวยงามและนักท่องเที่ยวแวะเยอะที่สุด ของจิ่วจ้ายโกว ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 2,472 เมตร มีทะเลสาบที่น้ำลึกประมาณ 5 เมตร กว้างประมาณ 90,000 ตารางเมตร น้ำใสสะท้อนแสงแดดเป็นประกายสีมรกต มีความใสสะอาด จนมองเห็นซากไม้ สาหร่าย พืชน้ำ สีต่างๆ มองออกไปไม่ไกลเป็นภูเขาสลับซับซ้อนเห็นต้นไม้ ใบไม้หลากสี สลับสีเขียว เหลือง ส้ม แดง ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใส (ในวันฟ้าเปิด) วิวทิวทัศน์ของจุดนี้ ถือเป็นวิวมหาชน ที่ทุกคนต้องถ่ายรูป ใครไม่ได้แวะจุดนี้ ก็เหมือนมาไม่ถึง จิ่วจ้ายโกว เลยแหละ

ทะเลสาบนี้ ถือว่าเป็นจุดที่เมื่อน้ำนิ่ง จะถ่ายรูปวิวสะท้อนน้ำได้สวยที่สุด ราวกับสะท้อนกระจก แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในเวลานั้นด้วย แนะนำว่าถ้าเป็นช่วงเช้าๆ ฟ้าเปิด แสงแดดอ่อนๆ จะยิ่งสะท้อนให้เห็นภาพชัดใสสวยงามมากขึ้นไปอีก

จุดนี้จะเป็นน้ำตกหินปูนที่กว้างทีสุดในจิ่วจ้ายโกว มีรูปทรงคล้ายพัดจีน ที่มาของชื่อ หมายถึงสายน้ำที่ไหลตกมางดงามราวกับเส้นไข่มุก แถมยังมีฉากหลังเป็นภูเขาลูกใหญ่ ถ้ายิ่งตอนแสงแดดตกกระทบกับละอองของน้ำตก แล้วเกิดรุ้งนะ จะสวยจึ้ง ตรึงจิตขนาดไหน คิดดูว่าสวยจนมีภาพยนตร์ดังหลายเรื่องมาถ่ายทำที่นี่ด้วย หนึ่งในนั้นคือเรื่องไซอิ๋ว ที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดี

ด้วยรูปร่างที่คล้ายนกยูง จุดนี้จึงถูกเรียกว่าทะเลสาบนกยูง แม้พื้นที่จะค่อนข้างเล็ก มีความยาวเพียง 310 ม.แต่ความพิเศษคือ สีของน้ำที่เป็นสีฟ้า ไล่เฉดอ่อนเข้มอมน้ำเงินสวยงาม และน้ำจะใสราวคริสตัล

ทะเลสาบนี้มีความลึกมากถึง 14 เมตร เป็น 1 ใน 2 ของทะเลสาบจิ่วจ้ายโกว ที่ในฤดูหนาว ผิวน้ำจะจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง ส่วนที่มาของชื่อน่ารักๆ ก็มาจากจุดนี้เคยเป็นแหล่งน้ำที่น้องแพนด้าแวะเวียนมาบ่อยๆ นั่นเอง

จุดนี้จะมีทะเลสาบและน้ำตกอยู่ในบริเวณเดียวกัน น้ำตกจะไม่สูงมาก แต่เป็นแนวยาวสวยงาม รอบๆ จะเต็มไปด้วยต้นไผ่จำนวนมาก น้ำมีสีฟ้าใส มองเห็นต้นไม้ที่ล้มตายกลายเป็นหิน บางครั้งบางปี ก็จะได้เห็นต้นไม้ใต้น้ำเติบโตขึ้นมาใหม่ด้วยนะ

ที่นี่เป็นทะเลสาบที่อยู่สูงที่สุด ลึกและใหญ่ที่สุดในจิ่วจ้ายโกว เนื้อที่กว่า 581 ไร่ น้ำในทะเลสาบจะเป็นสีฟ้า น้ำเงินเข้ม ไร่ละดับตามความลึก โดยรอบโอบล้อมด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ในฤดูหนาวน้ำจุดนี้จะกลายเป็นน้ำแข็งหนากว่า 60 ซม. และด้วยความยาวกว่า 2 กม.ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งกันเป็นจำนวนมาก

ทะเลสาบนี้ จะอยู่ถัดลงมาจาก Tourist Centre มีความใหญ่ และยาวราว 2 กม. รองลงมาจาก Long Lake ทะเลสาบแห่งนี้ไม่ว่าจะฤดูไหน หรือเวลาไหน มักจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่แตกต่างกันออกไปเสมอ เป็นความสวยงานที่กลับมาเก็บภาพซ้ำ ยังได้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป และจุดนี้ยังเป็นอีกหนึ่งที่ที่ถ่ายภาพวิวสะท้อนน้ำได้สวยงามไม่แพ้ Mirror Lake เลย





9. SHU ZHENG LAKES ทะเลสาบซู่เจิ้ง 

ทะเลสาบซู่เจิ้ง เป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปยอดนิยม ที่ประกอบด้วยทะเลสาบน้อยใหญ่กว่า 19 แห่ง ตั้งตามโขดหินเรียงรายกันต่อเนื่องเป็นระยะทางกว่า 3,000 เมตร ไหลช้าๆ ต่อๆ กันมาเป็นขั้นบันได มีน้ำตก ซู่เจิ้ง (Shu Zheng Waterfall) ที่ไหลออกมาแยกกันเป็นเส้นสายกว่าพันสาย  ใกล้กันยังมี Shu Zheng Villages หมู่บ้านทิเบตให้แวะชมอีกด้วย





10. TIBETAN VILLAGES หมู่บ้านทิเบต

เพราะที่นี่เป็นเขตปกครองตนเองของทิเบต ที่พบหลักฐานการอาศัยอยู่มายาวนานถึง 3,000 ปี ซึ่งมีทั้งหมด 9 หมู่บ้าน (Shu Zheng Villages คือ 1 ใน 9 หมู่บ้านทิเบต) ที่กระจายกันอยู่ภายในอุทยาน จึงเป็นที่มาของ จิ่วจ้ายโกว ที่แปลว่า หุบเขาเก้าหมู่บ้าน ดังนั้น มาถึงแล้วถ้ามีโอกาสได้แวะหมู่บ้านทิเบตสักแห่ง เพื่อชมวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม ก็คงดีไม่น้อย





ถ้าใครมีเวลาเยอะๆ อย่างน้อย 2 วัน สามารถเที่ยวเก็บทุกจุดใน จิ่วจ้ายโกวได้เลย ทิวทัศน์บางจุดอาจดูคล้ายๆ กัน แต่รับรองว่าทุกจุดมีความสวยงามที่แตกต่างกันแน่นอน ต่างเวลา ต่างแสง ต่างสีสัน ต่างเรื่องราว สามารถแวะอ่านตามป้ายบอกเรื่องราวแต่ละจุดของอุทยานได้เลย ถ้าใครชอบเดิน สามารถเดินชมเที่ยวทั้งอุทยานได้เลย (หลายสิบกิโลเมตร) แต่อาจต้องฟิตร่างกาย กำลังขามาให้พร้อม เพราะมีทั้งทางเรียบและทางชัน หรือจะนั่งรถลงเที่ยวตามจุดไฮไลท์ที่เราแนะนำ และเดินในระยะสั้นๆ เอาก็ได้ แล้วแต่สะดวก







นอกจากจุดท่องเที่ยวในอุทยานแล้ว ระหว่างทางยังมีวิวทิวทัศน์สวยงามที่ไม่อยากให้พลาด นั่งชมกันเพลินๆ ได้ตลอดทาง มีจุดชมวิวให้จอดแวะถ่ายรูป มีร้านขายอาหาร ขายของที่ระลึก และไฮไลท์อีกอย่างคือมี น้องจามรี รอต้อนรับนักท่องเที่ยว ให้นั่งขี่หลังถ่ายรูปด้วย ใครผ่านไปผ่านมาเห็นก็ต้องเอ็นดู น้องน่ารักตัวสีขาวใหญ่คล้ายวัวกระทิง ขนยาวหนา ถ่ายรูปกับน้องแล้ว บางที่ยังมีเนื้อน้องจามรีปิ้งให้ได้ลองทานกันด้วย







สำหรับรูปที่เราเก็บมาฝากจะเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม อากาศค่อนข้างหนาว ใกล้เข้าฤดูหนาว ถ้าใครมาช่วงนี้อาจโชคดีได้เริ่มเห็นหิมะปกคลุมยอดเขาบางๆ หรือจะเดินทางมาช่วงฤดูหนาว เดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ ก็สวยไม่แพ้กัน เป็นอีกฤดูไฮไลท์ที่แนะนำ หิมะปกคลุมยอดต้นไม้ ขาวโพลน มองเห็นเมฆหมอกลอยต่ำ เหนือน้ำทะเลสาบสีฟ้ามรกต เหมือนอยู่ในเมืองฟ้า เมืองสวรรค์ แต่เชื่อเถอะถ้าได้มาเห็นภาพเหล่านี้ สัมผัสด้วยตาของตัวเองสักครั้งในชีวิต คุณจะติดตา ประทับใจ ไม่มีวันลืมเลย